วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ศึกษาหมู่บ้าน ตือเบาะ

บริบททั่วไป
            ประวัติศาสตร์ชุมชน
      หมู่ ที่ ๑๐ บ้านตือเบาะ แยกมาจากหมู่ที่ ๔ บ้านนัดโต๊ะโมง ชื่อบ้านตือเบาะ มาจากชื่อของต้นตะเคียนไทรขนาดใหญ่ ปัจจุบันอยู่ในบริเวณที่ต้นตือเบาะอยู่ในซอยฐิติอรัญ มีคำเล่าลือต่อกันมาว่า ต้นตือเบาะต้นนี้มีนางไม้ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านในบริเวณนั้น บ้านใดมีการจัดงานเลี้ยงต่างๆ จะไปขอยืม จาน ชาม ถ้วย หรืออุปกรณ์หุงต้มต่างๆ และในวันถัดมาก็จะมีสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ได้ขอวางไว้ที่บริเวณโคนต้นไม้ เมื่อเสร็จงานดังกล่าวก็จะนำสิ่งของเหล่านั้นมาคืน
            ภูมิศาสตร์
     ภูมิศาสตร์โดยทั่วไป มีลักษณะเป็นภูเขา เนินเขาสลับ กับที่ราบลุ่ม ละติจูด: 6.5315094 (6° 311.0287”)
ลองจิจูด: 101.3132282 (101° 181.0441”)
            อาณาเขต
     อาณาเขตโดยรอบพื้นที่หมู่ที่ 10  มีรายละเอียดดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อ หมู่ที่ 9 กือแลบะห์
ทิศใต้ ติดต่อ หมู่ที่ 12 ลาโจ๊ะ
ทิศตะวันออก ติดต่อ หมู่ที่ 6 ตะโละกือบอ
ทิศตะวันตก ติดต่อ ถนนผังเมือง 4 ยะลา













แผ่นที่เดินดิน
เนื่องจากหมู่บ้านผมเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในเมืองผมขอเล่าจากเหนือไปใต้หละกันนะครับ ถ้าเรามาจากหมู่ 9
ซอยแรกที่เราจะเจอคือซอยกูโบซึ่งในซอยนั้นจะมีสุสานอยู่ทำให้ได้ชื่อนั้นที่ปากซอยกูโบจะเป็น 4 แยกที่ตำรวจชอบมาตั้งด้านตรวจเนื่องจากเป็นทางเลี่ยงเมืองชั้นดีของพวกนักซึ่งและมีไฟแดงแค่แยกเดียวคือแยกถนนร่มเกล้าทำให้ซิ่งได้เต็มที่เลยทำให้จุดนั้นกลายเป็นจุดเป้าหมายของตำรวจที่จะจับรถที่ไม่มีทะเบียนขับซิ่ง และ รถที่แต่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ถ้าเดินต่อไปจนถึง ซอย 1 หน้าปากซอยจะมีร้านจำโบ้ ร้านนี้ถือว่าอร่อยที่สุดแล้วในหมู่บ้านและฝังตรงข้ามจะมีร้านขายข้าวแกงในหมู่บ้านเขาเรียนร้านสูหละ เป็นแม่ค้าเก่าแก่ที่สุดในหมู่บ้านตั้งแต่ผมจำความได้ผมก็ทานร้านนั้นตลอดแต่ร้านนั้นจะเปิดในตอนเช้าจนถึงเที่ยง
สาเหตุเนื่องจากที่ผมทานข้าวที่ร้านนั้นตั้งแต่เด็กๆเนื่องจากบ้านผมอยู่ในซอย 2 เลยซื้อใกล้บ้านและอร่อยด้วยและหน้าบอกซอยบ้านผมนั้นจะมีร้านขาย กวยเตี่ยวราคาถูกๆแต่รสชาติพอกินได้ทำให้เป็นที่นิยมของคนรสนิยมไม่สูงแต่ทานแล้วอิ่มท้อง ทำให้มีลูกค้าเยอะมากจนทำให้เจ้าของร้านไม่ทันที่จะทำและตรงข้ามร้านนั้นจะมี ฮาลาลฟุพเฟ่ แต่ไม่ค่อยมีคนเนื่องจากมาอยู่ชานๆเมืองและของก็น้อยทำให้คนนิยมไปทานในเมืองกันเลยซบเซาไปซึงร้านนี้ตั้งอยู่ข้างซอยรวมทรัพย์พอเข้าไปสุดซอยจะมีที่ติวหนังสือวิชาฟิสิกส์ซึ่งอาจารย์ท่านนี้สอนได้ดีมากมีลูกศิษย์มากมายที่ประสบความสำเร็จเพราะการสอนของแกคนแถวนั้นท่านงว่าอาจารย์โก๊ะ ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าทำไมเขาถึงเรียกอย่างนั้นนะครับเลยไปจากซอยรวมทรัพย์นั้นจะมีด้านทหารตั้งอยู่ และใน ซอย 3 จะมีทหาร 1 กองพันธ์ อยู่ที่สนามฟุตบอลของหมู่บ้านที่ให้ประชาชนในหมู่บ้านไม่สามารถออกกำลังกายและจะต้องเลี่ยงไปออกกำลังกายในเมืองแทนซึ่งก็น่าเสี่ยดายที่เป็นแบบนั้นเนื่องจากเด็กๆวัยรุ่นที่ไม่มีความสามารถในการที่ออกไปในเมืองจะได้ใช้สนามนั้นในการออกกำลังกายและ
สานสัมพันธ์ในสังคมจากซอยนั้นไปนิดหนึ่งก็เป็น โรงเรียนเทคนิคพาณิชยการยะลา แต่คนในหมู่บ้านไม่ค่อยที่จะเรียนสักเท่าไรเนื่องจากรู้ว่าขาดอุปกรณ์และไม่ค่อยพัฒนาแต่ถึงอย่างไรที่นั้นกลายเป็นสถานที่สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาโทส่วนด้านหน้าโรงเรียนก็จะเป็นร้านค้าซึ่งขาย ข้าวยำ หัวเกรียบและอื่นๆ
และไปจนถึงซอยแยนาวากัฟฝังมัสยิดนั้นจะมีร้านน้ำชาอยู่หน้าปากซอยซึ่งจะมีคนไปทานในช่วงค้ำและคนส่วนมากจะเป็นคนที่มาละหมาดที่มัสยิดและจะมีช่วยเวลาหลังจากการละหมาดมัฆริบนั้นอยู่หนึ่งชั้วโมงช่วงนั้นมีคนเต็มร้านเลยและในช่วงที่มีฟุตบอลคู้เด็ดนั้นก็จะมีคนมากเหมือนกันแต่เป็นพวกวัยรุ่นส่วนใหญ่
ร้านน้ำชานั้นเขาเรียกว่าร้านซอรี เนื่องจากเจ้าของร้านชื่อวอรีและเรียกทับไปเลยต่อจากนั้นก็จะเป็นมัสยิดและต่อไปเรื่อยๆจนถึงสีแยกไฟแดงถนนร่มเกล้าจะเป็นร้านค้าทั้งสองฝังถนนจึงทำให้หมู่บ้านผมกลายเป็นหมู่บ้านของการค้าซึ่งในช่วงฤดูกาลหรือเทศกาลต่างๆนะจะมีสีสันมากขึ้นเนื่องจากมีคนเพิ่มมากขึ้นและมีสีสันในการค้าเพิ่มขึ้นด้วยถึงอย่างไรก็ตามทำให้ได้คิดว่าแล้วคนที่มีรากฐานดั้งเดิมจะสักกี่คนเพราะเท่าที่เห็นก็คนนอกทั้งนั้นจะมาเช่าบ้านและอยู่จนกว่าจะจนการศึกษาไปเท่านั้นเองเลยนำพาปัญหาสังคมมากมายตามมาด้วยซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าบ้านที่จะดูแลความเรียบร้อยของชุมชนต่อไป


             ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
     เป็นความสัมพันธ์แนวดิ่งซึ่งเนื่องจากเป็นสังคมเมืองเต็มรูปแบบซึ่งต่างคนต่างอยู่โดยอาศัยอำนาจการปกครองในการที่ทำให้ชุมชนเคลื่อนไปข้างหน้าโดยไม่มีข้อบกพร่องทางด้านการพัฒนาของชุมชนแต่ถ้าเป็นกิจกรรมทางด้านศาสนานั้นจะมีความสัมพันธ์แนวนอนซึ่งต้องคนก็ต่างที่จะยืนมือมาช่วยต่างคนต่างช่วยซึ่งยังมีลักษณะของความช่วยเหลือที่มองได้อย่างชัดเจน
           





 วัฒนธรรม
            ศาสนา
      ประชากรส่วนใหญ่ในหมู่ 10 ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม รองลงมานับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ มีมัสยิด จำนวน 1 แห่ง

            ความเชื่อ
     ความเชื่อนั้นขึ้นอยู่กับศาสนาที่ตนนั้นถือซึ่งมีความแตกต่างที่ศาสนาของตนถือกันไปซึ่งศาสนาอิสลามนั้นไม่สามารถเชื่อในสิ่งนอกพระเจ้าแค่องค์เดียวเท่านั้นจึงทำให้ความของชาวมุสลิมนั้นแคบ เป็นต้น

            จารีต
     จารีตนั้นก็ขึ้นกับศาสนาที่ตนนั้นเช่นกันแต่อิสลามจะเน้นในหลายด้าน เช่น ด้านความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยา และการอยู่ร่วมกันระหว่างชายหญิงที่มีลักษณะเป็นการผิดประเวณีอย่างชัดเจน ซึ่งการผิดประเวณีนั้นนับได้ว่าเป็นจารีตที่สากลเข้าในกันและเป็นข้อห้ามหลักในหมู่บ้านถ้ามีใครผ่าฝื่นอาจจะต้องโดนจับแต่งงานได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากผู้ปกครอง

            ประเพณี
         ประเพณีงานสมโภชหลักเมืองยะลา
             

     งานสมโภชหลักเมืองยะลา เดิมจังหวัดยะลาเป็นอาณาเขตหนึ่งในบริเวณ 7 หัวเมือง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดปัตตานี เมื่อแยกออกเป็นเมืองหนึ่งต่างหากในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (ในรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2333) มีเจ้าเมืองปกครองนับตั้งแต่แยกเป็นจังหวัดมาจนกระทั่งปัจจุบัน (พ.ศ. 2505) รวม 31 คน

     จากการดำริของ พ.ต.อ. (พิเศษ) ศิริ คชหิรัญ ครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาร่วมใจกันก่อสร้างหลักเมืองขึ้นที่บริเวณศูนย์วงเวียน หน้าศาลากลางจังหวัด โดยเริ่มวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2504 เวลา 10.30 น. โดยกรมป่าไม้เป็นผู้จัดหาไม้ชัยพฤกษ์ จากป่าเมืองกาญจนบุรี
     เสาหลักเมืองมีลักษณะเป็นแท่งกลม ต้นเสาวัดโดยรอบได้ 105 เซนติเมตร ปลายเสา 48 เซนติเมตร สูง 1.25 เมตร มีเทพารักษ์จากกาญจบุรีมาประจำอยู่วางบนฐานกลมแกะสลักลวดลายแบบไทย ลงรักษ์ปิดทองรอบฐานชั้นบนและกลางแกะสลักเป็นรูปนักรบโบราณถือโล่และดาบ กล่าวกันว่าเป็นวิญญาณแม่ทัพคนหนึ่งของพระเจ้าตากสินมหาราช
     พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงพระสุหร่ายและทรงเจิมยอดเสาหลักเมืองและพระราชทานแก่ พ.ต.อ. (พิเศษ) ศิริ คชหิรัญ เมื่อวันศุกร์ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 และได้ฤกษ์ประกอบพิธีฝังเสาและปักยอดกลักเมืองเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 เวลา 12.11 น.

     ยอดเสาหลักเมืองแกะเป็นรูปพระพรหมมี 4 หน้า อันเป็นหลักแห่งความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ส่วนศาลหลักเมืองก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กตบแต่งด้วยหินขัดทั้งหลังเป็นรูปจัตุรมุข หันหน้าไปตามทิศทั้ง 4 มีบันไดขึ้นทั้ง 4 ทิศ รูปลักษณ์สี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สอบสอง หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสลับสี ตัวศาลากว้าง 6.00 เมตร สูง 6.50 เมตร มีถนนทางเข้า 4 ทิศ รอบ ๆ ตัวศาลมีสระน้ำและปลูกไม้ประดับพันธุ์ไม้ไทย
     หลังจากพิธีกรรมในการฝังหลักเมืองผ่านพ้นไปแล้ว ได้จัดให้มีงานเฉลิมฉลองสมโภช 7 วัน 7 คืน ตั้งแต่วันที่ 25 – 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 และได้ยึดถือเป็นงานสมโภชประจำปีทุกปีตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน

ประเพณีการแต่งงานของชาวมุสลิม

            ช่วงเวลา
     การแต่งงานจะกระทำกัน ๓ ขั้นตอน คือ
๑. การสู่ขอ โดยฝ่ายชายจะให้ฝ่ายญาติผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงล้วน ๆ เป็นเถ้าแก่ไปทาบทามสู่ขอกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง
๒. การหมั้น เมื่อถึงกำหนดหมั้นฝ่ายชายจะจัดเถ้าแก่นำขบวนขันหมากไปยังบ้านฝ่ายหญิง โดยชายผู้จะเป็นเจ้าบ่าวไม่ได้ไปด้วย
๓. พิธีแต่งงาน โดยทั่วไปจะจัดหลังจากหมั้นและไม่เกิน ๒ สัปดาห์ โดยถือฤกษ์ ๔ -๕ โมงเย็นของวันใดวันหนึ่ง
พิธีการแต่งงานของมุสลิมจะไม่นิยมแต่งในช่วงที่ประกอบพิธีฮัจญ์

ความสำคัญ
     เพื่อเป็นการสัมพันธ์ของมนุษยชาติ ซึ่งหลักการต่าง ๆ จะไม่หนีหรือหลักเลี่ยงความเป็นจริง จึงถือได้ว่าเป็นทางสายกลางที่ทำให้มนุษย์มีความสมบูรณ์ในการเป็นคนหรือสัตว์ประเสริฐ
พิธีกรรม
๑. การสู่ขอ ในอดีตการสู่ขอฝ่ายชายจะให้ญาติผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงล้วน ไปสู่ขอกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง เมื่อพ่อแม่ฝ่ายหญิงตกลงก็จะได้กำหนดวันหมั้น การตอบตกลงของพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะไม่ขอความคิดเห็นจากบุตรสาวของตนเลย แต่ในปัจจุบันผู้ไปสู่ขอคืนมารดาหรือญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชายต้องไปสู่ขอกับผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิง พร้อมกับมีของฝากฝ่ายหญิงอาจเป็นขนมหรือผลไม้ก็ได้ เมื่อไปถึงแล้วก็บอกว่ามีธุระที่จะขอปรึกษาด้วย แล้วสอบถามว่าผู้หญิงที่ต้องการไปสู่ขอมีคู่หรือยัง ถ้าฝ่ายหญิงบอกว่าไม่มีก็จะบอกว่าต้องการสู่ขอให้กับใคร ฝ่ายหญิงจะไม่ตอบตกลงในตอนนั้น และจะไม่ตอบรายละเอียด แต่จะขอเวลาปรึกษากันระหว่างญาติ ๆ ประมาณ ๗ วัน ในช่วงนั้นฝ่ายหญิงอาจจะส่งคนที่นับถือไปบอกฝ่ายชายในกรณีที่ตกลง ถ้าไม่ตกลงก็จะเงียบเฉยให้เป็นที่รู้เอาเอง เมื่อฝ่ายหญิงตกลงฝ่ายชายก็จะไปตกลงเรื่องวันแต่งงาน สินสอด ของหมั้นและมะฮัร
๒. การหมั้น ในอดีตเมื่อถึงวันกำหนดหมั้น ฝ่ายชายจะจัดเถ้าแก่ขบวนขันหมากไปยังบ้านฝ่ายหญิง ฤกษ์แห่ขันหมากใช้เวลาตอนเย็นประมาณ ๔-๕ โมงเย็น "ขันหมาก" ประกอบด้วยพาน ๓ พาน คือ พานหมากพลู พานข้าวเหนียวเหลือง และพานขนม แต่บางรายที่เป็นผู้มีฐานะดีก็อาจจะเพิ่มพานขนมขึ้นอีกก็ได้ พานหมากพลูนั้นจะมีเงินสินสอดใส่ไว้ใต้พานหมากพลู เงินจำนวนนี้เรียกว่า ลาเปะซีเฆะ หรือ เงินรองพลู ส่วนพานขนมนั้นประกอบด้วย ขนมก้อ (ตูปงปูตู) ข้าวพองและขนมก้อนน้ำตาล (ตูปงฮะลูวอคีแม) เป็นต้น ขันหมากดังกล่าวทุกพานคลุมด้วยผ้าสีสวย เมื่อขบวนขันหมากไปถึงบ้านฝ่ายหญิงก็ให้การต้อนรับ เถ้าแก่ฝ่ายชายจะบอกกล่าวขึ้นว่า "วันนี้ (ออกชื่อเจ้าบ่าว)ได้เอาของมาหมั้น (ชื่อเจ้าสาว) แล้ว" เมื่อเถ้าแก่ฝ่ายหญิง
รับของหมั้นแล้ว เถ้าแก่ฝ่ายชายจะถามต่อไปทันทีว่า "เงินหัวขันหมากนั้นเท่าใด" ซึ่งเถ้าแก่ฝ่ายหญิงจะต้องตอบไปจากนั้นเป็นการปรึกษาหารือถึงกำหนดวันแต่งงาน วันจัดงาน และการกินเลี้ยง และก่อนฝ่ายชายจะกลับฝ่ายหญิงจะนำผ้าโสร่งชาย (กาเฮงแปลก๊ะ) หรือผ้าดอกปล่อยชาย (กาเฮงบาเต๊ะลือป๊ะ) อย่างใดอย่างหนึ่งใส่พานที่ใส่หมากพลูมาหมั้น ส่วนพานข้าวเหนียวเหลืองและพานขนมก็จะได้รับขนมจากฝ่ายหญิงใส่พานนำกลับ
การหมั้นในปัจจุบันจะทำได้ ๒ ลักษณะคือ หมั้นก่อนแต่งทำพิธีนิกะห์(การแต่งงานตามหลักศาสนา) หรือหมั้นหลังทำพิธีนิกะห์ ซึ่งจะเป็นผลดีและมีข้อห้ามต่างกัน กล่าวคือถ้าหมั้นก่อนแต่งงานเจ้าบ่าวจะถูกต้องตัวเจ้าสาวไม่ได้ ส่วนการหมั้นหลังพิธีนิกะห์แล้ว เจ้าบ่าวสามารถถูกต้องตัวเจ้าสาวได้ เจ้าบ่าวจึงสวมของหมั้นให้กับเจ้าสาวได้และสามารถจัดพิธีนั่งบัลลังก์เพื่อให้ญาติทั้ง ๒ ฝ่ายร่วมแสดงความยินดีได้อย่างสมเกียรติ ส่วนขันหมากมีการจัดคล้ายกับในอดีต
๓. พิธีแต่งงาน ในอดีตพิธีแต่งงานโดยทั่วไปจะจัดหลังหมั้นแล้วไม่เกิน ๒ สัปดาห์ โดยถือฤกษ์๔-๕ โมงเย็นของวันใดวันหนึ่ง ฝ่ายเจ้าบ่าวจะยกขันหมากไปยังบ้านเจ้าสาว ขบวนดังกล่าวนี้ประกอบด้วยเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าบ่าว และญาติผู้ใหญ่ประมาณ ๕-๖ คน การไปคราวนี้ไม่มีข้าวของอะไรต้องนำไป นอกจากเงินหัวขันหมาก (จะต้องเป็นจำนวนเลขคี่) ซึ่งใส่ไว้ในขันหมากทองเหลืองใบเล็ก ๆ ห่อหุ้มด้วยผ้าเช็ดหน้าให้เจ้าบ่าวถือไป และกล้วยพันธุ์ดี เช่น กล้วยหอมอีก ๒-๓ หวี เท่านั้น ในวันดังกล่าวทางบ้านเจ้าสาวก็เตรียมการต้อนรับโดยเชิญโต๊ะอิหม่ามเป็นประธานในพิธีแต่งงาน พร้อมด้วยคอเต็มและผู้ทรงคุณธรรมอีก ๑ คน เพื่อเป็นสักขีพยาน ผู้ทรงคุณธรรมดังกล่าวนั้นจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือบุคคลอื่นก็ได้ ข้อสำคัญอยู่ที่คน ๆ นั้นต้องเป็นที่ยอมรับนับถือว่าเป็นคนมีศีลสัตย์ เมื่อหัวขันหมากไปถึงบ้านเจ้าสาว ฝ่ายเจ้าสาวก็ให้การต้อนรับ โอกาสนี้เจ้าบ่าวต้องส่งมอบห่อเงินหัวขันหมากให้กับโต๊ะอิหม่าม เพื่อโต๊ะอิหม่ามจะได้ตรวจนับให้ถูกต้องครบถ้วนและควบคุมเงินหัวขันหมากนั้นไว้ จากนั้นก็มีการร่วมรับประทานอาหารกัน สำหรับตัวเจ้าสาวนั้นเก็บตัวอยู่ในห้องหรือในครัวเท่านั้น หลังจากการเลี้ยงอาหารผ่านไปแล้วเจ้าบ่าวไปนั่งขัดสมาธิลงตรงเบื้องหน้าโต๊ะอิหม่าม โอกาสนี้พ่อเจ้าบ่าวจะไปถามเจ้าสาวว่ายินยอมหรือไม่ การถามตอบในครั้งนี้จะมีพยานอยู่ใกล้ ๆ หากหญิงสาวไม่ยินยอมก็จะให้ญาติผู้ใหญ่ที่สามารถอ้อนวอนเกลี่ยกล่อมจิตใจสาวจนยอมเข้าพิธี เมื่อตกปากยินยอมพยาน ๒ คน รับทราบด้วยแล้วก็ดำเนินการขั้นตอนต่อไป ดำเนินการขั้นต่อไปโดยพ่อหรือผู้ปกครอง (ต้องเป็นชาย) ของเจ้าสาว "วอเกล์" กับโต๊ะอิหม่าม บิดาจะต้องเป็นผู้จัดการแต่งงานให้บุตรสาว  ของตน แต่เมื่อผู้เป็นบิดาไม่มีความรู้ ความเข้าใจในพิธีปฏิบัติก็ให้มอบหมายให้ผู้อื่น ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจปฏิบัติแทน จากนั้นจะมีการท่องเที่ยวหรืออ่านศาสนบัญญัติที่เกี่ยวกับการแต่งงานเรียกว่า "บาจอกุฐตึเบาะห์ ซึ่งอ่านโดยคอเติบหรือโต๊ะอิหม่ามจบจาก "บาจอกุฐตึเบาะห์" แล้ว โต๊ะอิหม่ามก็ยื่นมือไปจับปลายนิ้วมือของเจ้าบ่าวนิ้วหนึ่ง นิ้วใดก็ได้เพียงนิ้วเดียวพร้อมกับเริ่มประกอบพิธีแต่งงานให้โดยกล่าววาจาเป็นสำคัญ โดยโต๊ะอิหม่ามก็จะกล่าวดังนี้ "ยาอับดุลเลาะห์ อากูนิกะห์ อากันดีเกา บาร์วอเกล์วอ ลีบาเปาะญอ อากันดากู ดืองันฮาลีเมาะ เป็นตีมูฮำมัด อีซีกะห์ เว็นซะบาเญาะญอ สะราโต๊ะตฆอปูและ ตีโยโก๊ะตูนา" แล้วเจ้าบ่าวต้องกล่าวตอบรับตาม "อากูตรีมอ นิกะห์ญอ คืองันอีซีกะห์ เว็บซะบาเญาะ ตึรึซึโมะอีตู" แปลว่า ได้ยอมรับการแต่งงาน ตามจำนวนเงินหัวขันหมากดังกล่าว
สาระ
     ตามกฏเกณฑ์อิสลามนั้นการสมรสหมายถึง ชายหญิงได้ผูกจิตสัมพันธ์เพื่ออยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยา โดยถูกต้องตามพิธีนิกะห์ คำว่าแต่งงานภาษาอาหรับเรียกว่า "นิกะฮ์" มีความหมายว่า การกระทำพิธีแต่งงานภายใต้หลักเกณฑ์ และข้อบังคับแห่งศาสนาอิสลาม หรือ คำว่า นิกะห์ คือ การผูกปิติสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง เพื่อเป็นสามีภรรยากัน โดยพิธีสมรสตามหลักการของศาสนาอิสลามตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม
คำว่าแต่งงานในศาสนาอิสลาม จึงเรียกว่านิกะห์ ซึ่งชายคนหนึ่ง จะแต่งงานกับหญิงได้อย่างมากที่สุดในขณะเดียวกันอย่างที่สุด ๔ คน คือ หมายความว่า ชายคนหนึ่งจะมีภรรยาได้ในขณะเดียวกัน อย่างมากที่สุด ๔ คน แต่มีข้อบังคับว่าชายผู้นั้นจะต้องเลี้ยงดู ให้ความยุติธรรมกับภรรยาทั้งหมดได้ ถ้าไม่มีความสามารถแล้วก็ให้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น

ประเพรีการกวนข้าวอาซูรอ


ช่วงเวลา
ตรงกับวันที่ ๑๐ เดือนมุฮัรรอม ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีของศาสนาอิสลาม (ประมาณเดือนพฤศจิกายนของทุกปี)

ความเป็นมา
ความเป็นมาของการกวนข้าวอาซูรอ หรือกวนขนมอาซูรอสืบเนื่องจากได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในสมัย
นบีนุฮ (อล) ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน ไร่นาของประชาชนและสาวกของ นบีนุฮ (อล) และคนทั่วไปอดอาหาร นบีนุฮ (อล) จึงประกาศให้ผู้ที่มีสิ่งของเหลือพอจะรับประทานได้ ให้เอามากองรวมกัน และให้เอาของเหล่านั้นมากวนเข้าด้วยกัน เพื่อให้ทุกคนได้รับประทานอาหารกันโดยทั่วหน้า



ความสำคัญ
การกวนข้าวอาซูรอ (ขนมอาซูรอ) เป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คำว่า อาซูรอ เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า การผสม การรวมกัน คือการนำสิ่งของที่รับประทานได้หลายสิ่งหลายอย่างมากวนรวมกัน มีทั้งชนิดคาวและหวาน การกวนข้าวอาซูรอจะใช้คนในหมู่บ้านมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อความสามัคคีและสร้างความพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อันมีผลต่อการอยู่ร่วมกันของสังคมอย่างมีความสุข ก่อนจะแจกจ่ายให้รับประทานกัน เจ้าภาพจะเชิญบุคคลที่นับถือของชุมชนขึ้นมากล่าวขอพร (ดูอา) ก่อน จึงจะแจกให้คนทั่วไปรับประทานกัน

พิธีกรรม
การกวนข้าวอาซูรอเริ่มด้วยการที่เจ้าภาพประกาศเชิญชวนนัดหมายให้ชาวบ้านทราบว่าจะมีการกวนข้าวอาซูรอกันที่ไหน เมื่อใด เมื่อถึงกำหนดนัดหมายชาวบ้านก็จะนำอาหารดิบ เช่น เผือกมัน ฟักทอง มะละกอ กล้วย ข้าวสาร ถั่ว เป็นต้น มารวมเข้าด้วยกันแล้วปอกหั่น ตัดให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นนำเครื่องปรุง เช่น ข่า ตะไคร้ หอม กระเทียม ผักชี ยี่หร่า เกลือ น้ำตาล กะทิ เป็นต้น มาเป็นเครื่องผสมโดยหั่นตัดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เช่นเดียวกัน สำหรับกะทิจะคั้นเฉพาะน้ำมาผสม
วิธีกวน นำกะทะใบใหญ่ตั้งไฟ มีไม้พายสำหรับคนขนมอาซูรอ หลังจากตั้งกะทะบนเตา คั้นน้ำกะทิใส่ลงไป ตำหรือบดเครื่องแกงหยาบ ๆ ใส่ลงในน้ำกะทิ เมื่อกะทิเดือดใส่อาหารดิบต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว คนด้วยไม้พายจนกระทั่งทุกอย่างเปื่อยยุ่ย กวนต่อไปจนเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อแห้งได้ที่แล้วตักใส่ถาด โรยหน้าด้วยไข่เจียวหั่นบาง ๆ หรืออาจโรยหน้ากุ้ง เนื้อสมัน ปลาสมัน ผักชี หอมหั่นฝอย แล้วแต่รสนิยมของท้องถิ่น แล้วตัดเป็นชิ้น ๆ แจกจ่ายกันรับประทาน













ประเพณีพิธีโกนผมไฟของมุสลิม

ช่วงเวลา
หลังจากทารกคลอดได้ ๗ วัน

พิธีกรรม
บิดาจะจัดพิธีเชิญโต๊ะอีหม่าม หมอตำแยและเพื่อนบ้านไปร่วมพิธี มารดาจะจัดการอาบน้ำบุตร แล้วห่มผ้าวางบนเบาะ เอาลูกอินทผาลัมใส่จานเล็กๆ และถ้วยสำหรับใส่ผม มีดโกนและกรรไกรใส่ถาดเสร็จแล้วให้โต๊ะอีหม่ามหรือหมอตำแยทำพิธีโกนผม เมื่อโกนเสร็จทุกคนยืนขึ้นสวดสรรเสริญพระนบี จบแล้ว
โต๊ะอีหม่ามอ่านดูอา (สวดขอพร) แล้วเลี้ยงอาหารเป็นอันเสร็จพิธีโกนผมไฟ







วัฒนธรรมกินเจ

ตามปฏิทินจีน เทศกาลกินเจเริ่มวันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม ถึงวันอังคารที่ 23 ตุลาคม แต่โดยปกติจะเริ่มกินเจก่อน 1 วัน และวันถัดจากวันสุดท้ายมื้อเช้าจะยังกินเจอยู่ จะออกเจมื้อกลางวันค่ะ
กินเจเป็นคำที่คุ้นหูกันมากสำหรับบรรดาสาธุชนผู้ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย แต่สำหรับคนทั่วไปส่วนใหญ่ยังคงคิดกันไปว่า การกินเจเป็นเรื่องของคนที่เชื่อบาปเชื่อบุญมากกว่า จะเห็นว่าแท้จริงแล้วการกินเจเป็นเรื่องของเหตุและผลที่ถูกต้องดีงาม มีคำกล่าวว่า "คนเราจะยืนได้ ขาทั้งสองต้องแข็งแรงเสียก่อน" ความหมายก็คือ ก่อนที่เราจะลงมือปฏิบัติการงานใดๆ ก็ตาม จำเป็นต้องมีพื้นฐานที่มั่นคงเสียก่อน สิ่งสำคัญสองประการที่จะช่วยเหลือค้ำจุนให้เรามีรากฐานที่มั่นคง ได้แก่
ประการที่ 1 คือ "ความรู้" เราต้องศึกษาหาความรู้ในเรื่องที่จะปฏิบัติให้ดีเสียก่อน โดยอาศัยการได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน มามากพอสมควร
ประการที่ 2 คือ "สติปัญญา" เราต้องรู้จักใช้สติปัญญาเข้าไปพิจารณาความรู้เหล่านั้นอย่างรอบคอบ จนบังเกิดความเข้าใจกระจ่างชัดถึงเหตุและผล โดยถูกต้องถ่องแท้ หากจะลงมือปฏิบัติการใดๆ โดยขาดทั้งความรู้และสติปัญญาพิจารณา ก็ยากที่จะสำเร็จลุล่วงไปได้ เมื่อไม่ศึกษาก็ไม่รู้ รู้แล้วไม่พิจารณาก็ไม่เข้าใจ แต่ผู้ที่ศึกษาจนเข้าใจดีแล้ว ยังไม่ลงมือปฏิบัติก็ไร้ประโยชน์ โอสถทิพย์แม้จะวิเศษล้ำเลิศสักปานใด หากคนไม่ยอมกิน ผลดีนั้นก็ไม่มีทางจะเกิดขึ้นแก่เขาได้เลย การกินเจเป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะตน ผู้ที่ได้ปฏิบัติแล้วเท่านั้นจึงจะประจักษ์แจ้งถึงคุณวิเศษ อันล้ำเลิศได้ด้วยตนเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

วัฒนธรรมพิธีกรรมในวันฮารีรายอ

ช่วงเวลา

 ในรอบปีหนึ่ง ชาวมุสลิม มีวันฮารีรายอ ๒ ครั้ง คือ

๑) อีดิลฟิตรี ตรงกับวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนเชาวาล ซึ่งเป็นเดือน ๑๐ ตามปฏิทินอิสลาม ซึ่งเป็นวันออกบวช

๒) อีดิลอัฏฮา ตรงกับวันที่ ๑๐ เดือน ซุลฮิจญะ หรือตรงกับเดือน ๑๒ ของปฏิทินอิสลาม ซึ่งเป็นการฉลอง วันออกฮัจญ์

ความสำคัญ

วันฮารีรายอ เป็นวันรื่นเริงประจำปี ชาวมุสลิมจะไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน เพื่ออภัยต่อกันในสิ่งที่ผ่านมา เป็นวันที่ทุกคนมีความสุขมาก มุสลิมจะมีการประกอบพิธีกรรมไทยพร้อมเพรียงกันทั่วโลก ในวันอีดีลฟิตรี มุสลิมทุกคนจะต้องจ่ายซะกาตฟิตเราะห์ บริจาคทานแก่คนยากจนอนาถา ส่วนในวันอีดิลอัฏฮา จะมีการเชือดสัตว์พลี แล้วจะทำ กุรบัน แจกจ่ายเนื้อเพื่อเป็นทานแก่ญาติมิตร สัตว์ที่ใช้ในการเชือดพลีได้แก่ อูฐ วัว แพะ เป็นการขัดเกลาจิตใจของมนุษย์ให้เป็นผู้บริจาค เป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ ในวันฮารีรายอชาวมุสลิม จะเดินทางกลับภูมิสำเนาของตน มาร่วมประกอบพิธีกรรมทางศาสนาโดยพร้อมเพรียงกัน ได้พบปะ สังสรรค์กับเพื่อน ญาติพี่น้อง เพื่อจะได้ขออภัยต่อกัน

พิธีกรรม

๑. การปฏิบัติตนในตอนเช้าของวันฮารีรายอ โดยตื่นนอนแต่เช้าตรู ผู้หญิงจะเป็นผู้ตกแต่งบ้านเรือนให้สะอาดสวยงามเป็นพิเศษ จัดเตรียมอาหาร ขนมต่าง ๆ ไว้ต้อนรับเพื่อน ญาติพี่น้อง และแขกที่มาเยี่ยมเยียน ทุกคนต้องปฏิบัติบริจาคซากาตฟิตเราะห์ก่อนที่จะไปละหมาดในวันอีดิลฟิตรี สิ่งของที่ใช้ในการบริจาค โดย'ใช้สิ่งของที่บริโภคเป็นอาหารหลัก

๒. การอาบน้ำในวันฮารีรายอ เมื่อปฏิบัติภารกิจเสร็จ จะอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด เรียกว่าอายน้ำสุนัต กำหนดเวลาอาบตั้งแต่เที่ยงคืนเริ่มต้นวันฮารีรายอ จนถึงพระอาทิตย์ตก แต่เวลาที่ดีที่สุดและเป็นที่นิยมอาบน้ำสุนัต คือเมื่อแสงอรุณขึ้นขอบฟ้าในวันฮารีรายอ ในขณะอาบน้ำสุนัตทุกคนจะต้องกล่าวดุอารีเป็นการขอพร

๓. การประกอบพิธีกรรม ชาวมุสลิมจะเดินทางไปประกอบพิธีกรรมที่มัสยิดวันอีดิลฟิตรีจะไปมัสยิดเวลา ๘.๓๐ น. วันอีดิลอัฏฮา จะไปมัสยิดเวลา ๗.๓๐ น. การปฏิบัติตนเมื่อเดินทางถึงมัสยิด ทุกคนจะอาบน้ำละหมาด จากนั้นจึงเข้าไปในมัสยิด ทำการละหมาด ตะฮีญะดุลมัสยิด ๒ รอกาอัต มีการแบ่งแยกผญิงชาย โดยใช้ม่านกั้นกลาง เสร็จแล้วจัดแถวนั่งรอฟังโต๊ะอิหม่าม ซึ่งเป็นผู้นำในการทำพิธีละหมาด

๔. การละหมาด จะมีโต๊ะอีหม่ามเป็นผู้นำละหมาดจำนวน ๒ รอกาอัต

๑) เริ่มพิธีด้วยการยืนตรงเท้าห่างกันประมาณ ๑ คืบ หันหน้าไปทางกิบลัต (ทิศตะวันตก) สำรวมจิตใจแน่วแน่มุ่งตรงต่ออัลลอฮ อีหม่ามจะอ่านนำว่า

"อูซอลลีซุนนาตัน อีดิลฟิตรี (หรืออีดิลอัฏฮา) ร็อกกะตัยนี มะมูมัน ลิ้ลลาฮีตาอาลา และคิดในใจว่า ข้าพเจ้าละหมาดสุนัตอีดิลฟิตรี เพื่ออัลลอฮตาอาลา

๒) ตักบีร่อตุลเอียะฮ์รอม คือ การยกมือทั้งสองข้าง โดยแบฝ่ามือไปข้างหน้าให้หัวแม่มือจรดเหนืออยู่ระดับติ่งหูทั้งสองข้าง แล้วกล่าวคำว่า "อัลลอฮูอักบัร" ในขณะที่กล่าวคำ อัลลอฮูอักบัร ให้ตั้งเจตนาหรือนึกในใจ (เนียต) เนียตว่า "ข้าพเจ้าละหมาดสุนัตอีดิลฟิตรี (อีดิลอัฏฮา) ๒ รอกาอัตในเวลาเพื่ออัลลอฮตาอาลา แล้วลดมือทั้งสอง ลงมากอดอกให้มือขวาทับมือซ้าย แล้วกล่าว "ซุบฮานัลลอ วันฮัมดูลิลลา วาลาอีลา ฮาอินลัลลอ ฮูวัลลอฮูอักบัร ๖ ครั้ง ในรอกาอัตแรกแล้วกล่าว "อัลลอฮูอักบัร" ๗ ครั้ง จากนั้นใหฟังอีหม่าม (ผู้นำ) อ่านฟาตีฮะและซูเราะฮ

๓) เมื่ออีหม่าม (ผู้นำ) อ่านซูเราะฮเสร็จแล้วให้กล่าว "อัลลอฮูอักบัร" พร้อมกับยกมือทั้งสองเหมือนกับการตักบีรอตุลเอียะรอมในข้อ ๒ แล้วเอามือลง ก้มศีรษะโดยโน้มตัวลงเอาฝ่ามือจับเข่าให้ศีรษะและหลังอยู่ในระดับเดียวกันเรียกว่า "รอเกาะฮ" หรือ รูกัวะ หยุดนิ่งพร้อมกับอ่านตัสเบียะ คือซุบฮาน่า ร็อบบียัลอ้าซีม ว่าบีฮัมดี้ฮี

๔) เมื่ออ่านตัสเบียะฮจบแล้วให้เงยขึ้นมายืนตรง ขณะที่กำลังเงยให้อ่าน "ซ่ามีอัลลอฮู ลีมันฮามีดะฮ์"

พร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นเสมอไหล่ เหมือนกับการตักบีรครั้งแรก แล้วจึงลดมือลงแนบกับข้างตัวเรียกว่า "เอียะติดาล" ขณะที่ยืนตรงอยู่นี้ให้อ่าน "ร็อบบ๊านา ล่ากัลฮัมดิ์"

๕) กล่าว "อัลลอฮูอักบัร" พร้อมกับลดตัวลงคุกเข่ากับพื้น เอาฝ่ามือยันลงที่พื้น ให้ปลายนิ้วมือชี้ตรงไปข้างหน้า แล้วก้มลงให้หน้าผากแนบลงกับพื้น และจมูกแตะพื้นเรียกว่า "สูญูด" ให้หยุดนิ่งพร้อมกับอ่าน "ซุบฮานาร็อบบี้ยัลฮะลา ว่าบีฮัมดี้ฮี"

๖) กล่าว "อัลลอฮูอักบัร" พร้อมกับเงยศีรษะจากการสูญูดขึ้นมานั่งเรียกว่า นั้งระหว่าง ๒ สูญด ในการนั่งให้เอาตาตุ่มเท้าซ้ายรองกัน ให้ท้องนิ้วของเท้าขวายันพื้น ฝ่ามือทั้ง ๒ วางบนเข่าแล้วจึงอ่าน "ร็อบบิวฆ์ฟิรลี วัรฮัมนี วัรซุกนี วะฮ์ดี้นี ว่าอาฟีนี วะฟุ่อันนี"

๗) เมื่ออ่านจบแล้วกล่าว "อัลลอฮูอักบัร" พร้อมกับก้มลงสูญูดอีกครั้ง เรียกว่า สูญูดครั้งที่ ๒ อ่าน "ซูบฮาน่าร็อบบียัลอะฮ์ลา ว่าบีฮัมดี้ฮี้" ๓ ครั้ง เหมือนการสูญูดครั้งแรก

๘) เมื่ออ่านจบแล้วจึงเงยจากสูญูดครั้งที่ ๒ พร้อมกล่าว "อัลลอฮูอักบัร" มายืนตรงเอามือกอดอกดังเดิมรอกาอัตที่ ๒ ให้อ่านเหมือนรอกาอัตที่ ๑ แต่อ่าน "ซุบฮานันลอ วัลฮัมดุลิลลา วาลาอีลาฮาอิลลัลลอ ๔ ครั้ง แล้วอ่าน อัลลอฮูอักบัร ๕ ครั้ง จากนั้นให้ปฏิบัติเหมือนรอกาอัตที่ ๑ จนเสร็จสิ้นการละหมาด

๕. การปฏิบัติตนเมื่อละหมาดเสร็จ หลังจากละหมาดเสร็จแล้ว มุสลิมทุกคนจะนั่งฟังอีหม่ามกล่าวคุฏบะ (คำอบรม) เพื่อแนะแนวทางชีวิตด้านความศรัทธาที่กระตุ้นเตือนให้ปฏิบัติแต่ความดีละเว้นความชั่ว และปฏิบัติตามแนวทางของอิสลาม เพื่อให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ขณะนั่งฟังนั้นทุกคนจะอยู่ในความสำรวม สงบนิ่ง ตั้งใจฟัง ไม่พูดจาใด ๆ ทั้งสิ้น และเมื่ออีหม่ามอ่านคุฏบะฮจบแล้ว อีหม่ามจะขอพรจากพระองค์อัลลอฮเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และบรรดามุสลิมที่มาร่วมประกอบพิธีกรรม จะมีการขออภัยต่อกันโดยผู้น้อยจะเข้าไปขออภัยผู้อาวุโสกว่า

 

วัฒธรรมการถือศีลอด

ผู้ถือศีลอด คือชาวมุสลิมที่บรรลุศาสนภาวะ คือมีอายุ 15 ปี และหญิงที่เริ่มมีประจำเดือน ทุกคนต้องถือศีลอดหากแบ่งประเภทของผู้ถือศีลอดโดยทั่วไป พอจะแบ่งได้ดังนี้

ผู้ต้องถือ ได้แก่ผู้มีร่างกายสมบูรณ์ ไม่เจ็บป่วย ไม่อยู่ในระหว่างการเดินทาง,ผู้ได้รับการผ่อนผัน เมื่อมีเหตุการณ์เฉพาะหน้าอันได้แก่ ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย จะไม่สามารถถือศีลอดได้ หรืออยู่ในระหว่างเดินทาง แต่เมื่อเหตุการณ์เฉพาะหน้านั้นหมดไป คือ หายป่วยหรือกลับจากเดินทางแล้ว ก็ต้องถือใช้ให้ครบตามจำนวนวันที่ขาดไปโดยจะถือชดใช้ในวันใด เดือนไหน ในรอบปีนั้นก็ได้

ผู้ได้รับการยกเว้นในการถือศีล คือ คนชรา คนป่วยเรื้อรังที่แพทย์วินิจฉัยว่ารักษาไม่หาย หญิงมีครรภ์แก่และแม่ลูกอ่อนที่ให้นมทารกเพราะหากถือศีลอดอาจเป็นอันตรายแก่ทารก บุคคลที่สุขภาพไม่สมบูรณ์ ซึ่งเมื่อเขาถือศีลอดจะเป็นภัยต่อสุขภาพเสมอ บุคคลที่ทำงานหนัก เช่น ในเหมือง หรืองานอื่นๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและศรัทธาของเขาเองว่าจะสามารถถือได้หรือไม่ โดยไม่หลอกตัวเอง

บุคคลทั้ง 5 ประเภทแม้จะได้รับการยกเว้นโดยไม่ต้องถือเลย แต่ต้องชดใช้ด้วยการจ่ายอาหารเป็นทานแก่คนยากจน ด้วยอาหารที่มีคุณภาพตามที่ตนใช้บริโภคตลอดทั้งเดือน หรือจะจ่ายเป็นค่าอาหารแทนวันต่อวันโดยการบริจาคทานให้ต่างบุคคลก็ได้

สิ่งที่ทำให้เสียศีลอด (ศีลขาด)

1. กิน ดื่ม สูบ เสพ หรือนัตถุ์สิ่งใดๆ โดยเจตนา

2. การร่วมประเวณี ในระยะเวลาที่ถือศีลอด

3. มีประจำเดือน คลอดบุตร (กรณีนี้กลายเป็นข้อยกเว้นซึ่งผู้ที่ถือศีลควรชดใช้ด้วยวิธีการอื่น)

4. เจตนาทำให้อสุจิเคลื่อนด้วยวิธีใดๆ

ผลจากการถือศีลอด

ทำให้เกิดการสำรวมทั้งกายวาจาและใจ และเป็นการปกป้องตัวจากความชั่วทั้งมวล เพราะการถือศีลอดมิใช่เพียงแต่เป็นการอดอาหารเท่านั้น แต่เป็นการอดกลั้นอวัยวะทุกส่วนมิให้เพลี่ยงพล้ำไปในทางชั่วร้าย ทำให้รู้จักความหิวโหย เป็นการฝึกความอดทน และยังทำให้รู้ซึ้งถึงสภาพของผู้ยากไร้เป็นอย่างดี เกิดความเห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างเต็มที่

เมื่อถึงฤดูกาลแห่งการถือศีลอด มุสลิมทุกคนไม่ว่ายากดีมีจน จะอยู่ในสภาพเดียวกันหมด เป็นการยืนยันการศรัทธาโดยทางปฏิบัติอีกวิธีหนึ่ง มิใช่สักแต่ปากพูดว่าฉันศรัทธาๆ บรรดาเหล่านี้มิได้แข่งขันในการอดอาหารเท่านั้น แต่พวกเขาแข่งกันในการอดหรือละเว้นจากการชั่วนานาชนิด ทำให้เกิดความสำนึกในการเป็นบ่าวของพระผู้เป็นเจ้าเหมือนๆ กัน เป็นการยืนยันหลักเสมอภาคและภราดรภาพในอิสลามอีกด้วย

 

วัฒธรรมงานเมาลิด

งานเมาลิดเป็นงานเฉลิมฉลองการประสูติของศาสดามุฮัมมัด (ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ซึ่งจัดในทุกๆปี
ประมาณวันที่ 10-20 มกราคม ขึ้นกับปฏิทินอิสลาม

ประวัติ
งานเมาลิด เป็นงานฉลองการเกิดของศาสดามุฮัมมัด ซึ่งตรงกับวันที่ 12 เดือนรอบิอุลเอาวัล ตามปฏิทินอิสลามซึ่งนับตามจันทรคติ โดยงานเมาลิดนั้นมักจะจัดในประเทศอียิปต์ และประเทศมุสลิมอื่นๆ เช่น อินโดนิเซีย มาเลเซีย อินเดีย เป็นต้น โดยในส่วนของประเทศไทยนั้นมีการจัดงานนี้มาอย่างช้านาน

ลักษณะการจัดงาน
งานเมาลิด เป็นงานที่มีการกล่าวบทสดุดีศาสดามุฮัมมัดหรือที่ชาวมุสลิมเรียกกันว่าบัรซันญีซึ่งเป็นบทกลอนอาหรับที่มีความไพเราะและมีการขอพรให้กับศาสดามุฮัมมัดหรือที่ชาวมุสลิมเรียกว่าซอลาวาต นอกจากนี้ยังมีการอ่านพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานโดยชาวไทยและชาวต่างประเทศ การเผยแพร่จริยวัตรอันงดงามและเรียบง่ายของศาสดามุฮัมมัด การบรรยายทางวิชาการ แต่ที่เด่นชัดในงานนี้คือการจำหน่ายสินค้ามุสลิม อาหารฮาลาลนานาชนิด นอกจากนี้งานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทยจัดว่าเป็นงานเดียวที่ชาวมุสลิมทั่วประเทศได้มีโอกาสมารวมตัวกัน



วัฒธรรมการประกอบพิธีฮัจย์
พิธีฮัจย์เป็นหลักการหนึ่งของรุก่นอิสลาม อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ในคัมภีร์ อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 97 ความว่า :และสำหรับอัลลอฮฺ(มีบทบัญญัติ) เหนือบรรดามนุษย์ คือการทำฮัจย์ ณ บัยตุลลอฮฺ สำหรับผู้ที่มีความสามารถเดินทางไปได้
     หมายถึงว่า มุสลิมที่มีสุขภาพแข็งแรง สติปัญญาสมบูรณ์ มีทรัพย์สินเพียงพอในการใช้จ่ายโดยมิต้องเป็นหนี้สินและเดือดร้อนบุคคลที่ต้องรับผิดชอบ และเส้นทางที่จะเดินทางไปจะต้องปลอดภัย
     ดังนั้น การนำที่ดินและทรัพย์สินไปจำนอง จำนำ หรือขาย เพื่อนำไปประกอบพีธีฮัจย์ โดยกลับมาแล้วไม่มีที่ทำกิน หรือเป็นเหตุที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ลูกหลาน จึงเป็นการกระทำที่ผิดศาสนบัญญัติ เช่นเดียวกับคนที่มีความสามารถพร้อมแต่ไม่ยอมไปเพราะเสียดายทรัพย์สินจะพร่องไป  และถ้าหากไม่มีความสามารถด้านทรัพย์ และสุขภาพ ก็ไม่เป็นความผิดอย่างไร เพราะตกอยู่ในเหตุของการด้อยความสามารถ
     การทำฮัจญ์เป็นอิบาดะห์หลักต่อ อัลลอฮฺ ซึ่งมีเป้าหมายในการขัดเกลาจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ต้องใช้ความอุตสาหะ เสียสละทั้งกำลังกาย ทรัพย์ กำลังสติปัญญาและมีความสามารถอดทนต่อความยากลำบาก และมีความสามารถที่จะไปได้ โดยไม่ต้องกู้หนี้ ยืมสินของบุคคลอื่น 
 
     พิธีฮัจญ์จะทำในเดือน ซุล-ฮิจยะห์ (เดือนที่ 12 ของปีฮิจเราะห์ศักราช) ของแต่ละปี การกำหนดพิธีฮัจย์นั้น จะใช้การดูเดือน เพื่อกำหนดวันต่างๆ โดยจะดูเดือนกันในวันที่ 29 เดือน ซุลเกี๊ยะดะห์ เพื่อกำหนด วันที่ 1 เดือนซุลฮิจยะห์ และวันที่ 10เดือนซุลฮิจยะห์ จะเป็นวัน อีดิ้ลอัฎฮา หรือ อีดใหญ่(รายอ)ที่บ้านเรา ผู้ที่ไม่ได้ไปประกอบพิธีฮัจย์จะทำกรุบาน (เชือดสัตว์ และแบ่งปันเนื้อให้กับผู้ยากไร้)
การประกอบพิธีฮัจญ์มี 3 แบบ
     1.ตะมัตตัวะอฺ คือผู้ครองอิหฺรอมตั้งเจตนาทำอุมเราะฮฺก่อนการทำฮัจย์ ขณะที่เข้าสู่เทศกาลฮัจญ์แล้ว
     2.อิฟร้อด คือผู้ครองอิหฺรอมหลังจากการทำการตอวาฟกุดูมแล้วเขาจะต้องสวมชุดอิหฺรอมจนกระทั้งถึงวันที่ 10 ซุลฮิจญะฮฺหลังจากนั้นจึงทำอุมเราะฮฺ
     3.กิรอน คือผู้ครองอิหฺรอมตั้งเจตนาทำอุมเราะฮฺและการทำฮัจย์พร้อมกัน หลังจากการทำอุมเราะฮฺคือตอวาฟและสะแอแล้ว ไม่ต้องโกนศีรษะหรือตัดผม แต่ให้เขาครองอิหฺรอมกระทั้งถึงวันที่ 10 ซุลฮิจญะฮฺ
สถานที่สำคัญที่ใช้ในการประกอบพิธีฮัจย์คือ
     ทุ่งอารอฟะห์, ตำบลมุซดะลิฟะห์, ตำบลมีนา, และอัล-กะบะฮฺ (การตอวาฟรอบกะบะห์นี้ไม่ได้กระทำพร้อมกันในเวลาเดียวกัน)
ตารางเวลาและเส้นทางการทำฮัจย์ (เป็นขั้นตอนหลักที่สำคัญ)
     1. ผู้ทำฮัจญ์แบบตะมัตตัวะอฺ ครองอิหฺรอมเพื่อเจตนาทำฮัจย์ ที่บ้านพักในมักกะฮฺเช้าวันที่ 8
     2. ออกเดินทางจากมักกะฮฺมุ่งสู่มีนา และพักค้างแรมที่นั่น (วันตัรวียะฮฺ วันที่ 8)
     3. ออกเดินทางจากมีนามุ่งสู่อะระฟะฮฺเพื่อทำการวุกูฟ (ออกจากมีนา เช้าวันที่ 9)
     4. หยุดอยู่ที่อะรอฟะฮฺเพื่อทำการวุกูฟ ตั้งแต่เวลาบ่ายจนถึงเวลามัฆริบ (วันอะรอฟะฮฺที่ 9)
     5. ออกจากอะรอฟะฮฺตั้งแต่เวลามัฆริบมุ่งสู่มุซดะลิฟะฮฺ และพักค้างแรมที่นั่น ( คืนวันที่10 )
     6. ออกจากมุซดะลิฟะฮฺ มุ่งสู่มีนา เพื่อขว้างเสาหินหน้าเดียวต้นที่3 ญัมเราะตุ้ลอะกอบะฮฺ (เช้าวันที่10วันอีด)
     7. ตัดผมหรือโกนศีรษะ  เปลื้องชุดอิหฺรอม(อยู่ในชุดอิหรอมเป็นเวลา3วันคือวันที่8-10)
     8. พักแรมที่มีนา และขว้างเสาหินทั้ง 3 ต้นโดยขว้างเรียงกันไป1-3 เป็นเวลา 3 วัน (วันตัชรีก วันที่ 11 - 12 - 13)
     9. ออกเดินทางจากมีนา มุ่งสู่เมืองมักกะฮฺ (ก่อนดวงอาทิตย์ตก)
     10.การฏอวาฟบัยตุลลอฮฺ 7 รอบ
     11.การเดินสะแอระหว่างภูเขาซอฟาและมัรวะฮฺ 7 เที่ยว
     12.การฏอวาฟวิดาอฺ ( ฏอวาฟอำลา คือการเวียนรอบกะบะฮฺเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากดินแดนเมืองมักกะฮฺเพื่อจะเดินทางกลับ)
พิธีฮัจย์ตามรุก่นและวาญิบ
      - การครองอิหฺรอม คือการตั้งเจตนาเข้าสู่พิธีฮัจย์ (รุก่น)
      - การวุกูฟที่ทุ่งอะรอฟะฮฺ เริ่มตั้งแต่ดวงอาทิตย์คล้อยของวันที่ 9 ซุลฮิจญะฮฺ จนกระทั้งดวงอาทิตย์ตก (รุก่น)
      - การโกนศีรษะหรือการตัดผม(รุก่น)
      - การฏอวาฟบัยตุลลอฮฺ 7 รอบ (รุก่น)
      - การเดินสะแอระหว่างภูเขาซอฟาและมัรวะฮฺ 7 เที่ยว (รุก่น)
      - การค้างแรมที่มุซดะลิฟะฮฺ เริ่มตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตกของคืนวันที่ 10 ซุลฮิจญะฮฺ จนกระทั้งเวลาซุบฮฺ (วาญิบ)
      - การขว้างเสาหิน 7 ก้อนที่ญัมรอตุลอะเกาะบะฮฺ ที่มีนา เริ่มตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นของวันที่ 10 ซุลฮิจญะฮฺ จนกระทั้งดวงอาทิตย์ตก (วาญิบ)
      - การค้างแรมที่มีนา ในค่ำคืนของวันตัชรีก (วาญิบ)
      - การขว้างเสาหินทั้ง 3 ต้น ในวันที่ 11 12 13 ซุลฮิจญะฮฺ ต้นละ 7 ก้อน (วาญิบ)
      - การฏอวาฟวิดาอฺ (ฏอวาฟอำลา คือการเวียนรอบกะบะฮฺเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากดินแดนเมืองมักกะฮฺเพื่อจะเดินทางกลับ) (วาญิบ)
รุก่นและวาญิบของการประกอบพิธีฮัจย์ มีความแตกต่างกัน คือ
     ผู้ใดละทิ้งรุก่นหนึ่งรุก่นใดของการทำฮัจย์ การทำฮัจญ์ของเขาใช้ไม่ได้ และจำเป็นจะต้องไปทำฮัจญ์ใหม่ในปีต่อไป ส่วนผู้ที่ละทิ้งวาญิบ ข้อหนึ่งข้อใด จำเป็นที่เขาจะต้องเสียดัม (เชือดสัตว์พลี)
ข้อห้ามสำหรับผู้ที่ครองอิหฺรอม
     ห้ามสวมเสื้อผ้าที่มีรอยเย็บ กางเกง กางเกงชั้นใน ห้ามสวมหมวก (สำหรับผู้ชาย)
     ห้ามใส่เครื่องหอมหรือน้ำหอมทุกชนิด
     ห้ามตัดเล็บ ตัดผม โกนหนวด
     ห้ามพูดจาหยาบคาย ไร้สาระ เกี้ยวพาราสี การนินทา และการทะเลาะวิวาท
     ห้ามมีเพศสัมพันธ์ เล้าโลม กอดจูบ
     ห้ามจัดพิธีนิกะฮฺ(แต่งงาน)หรือการหมั้น
     ห้ามไล่ล่าสัตว์ในเขตแผ่นดินฮะราม(ห้าม)
     ห้ามตัดหรือถอนต้นไม้ในเขตแผ่นดินฮะราม
การเดินสะแอ




ปฏิทินทางวัฒนธรรม
กิจกรรม
              เดือน
.ค.
ก.พ.
มี.ค.
เม.ย.
พ.ค.
มิ.ย.
ก.ค.
ส.ค.
ก.ย.
ต.ค.
พ.ย.
ธ.ค.
สงกรานต์











เทศกาลกินเจ











งานเมาลิด












ช่วงวันฮารีรายอ










พิธีฮัจย์









ช่วงถือศีลอด     









           









ระบบเศรษฐกิจชุมชน
            อาชีพต่างๆ
นักธุรกิจ            ข้าราชกาล          แม่ค้าพ่อค้า        ตุลาการ             พยาบาล             ผู้ช่วยพยาบาล
ทนายความ         อัยการ               เภสัชกร             ช่างภาพ             นักการเมือง       ผู้จัดการ
ตำรวจ               ทหาร                พนักงานขาย      พนักงานบริการ  พนักงานบริษัท

            กลุ่มอาชีพ
กลุ่มชีพอิสระ     ได้แก่ ร้านอาหาร ร้านขายของชำ ซ่อมรถจักรยานยนต์ ร้านซ่อมรถยนต์  ร้านตัดเย็บเสื่อผ้า ร้านตัดผม ร้านผ้าม่าน ร้านอินเตอร์เน็ต ร้านขายเบอร์เกอร์  ร้ายขายหัวเกรียบ ร้านขายน้ำปัน ร้านน้ำชา ร้านขายยา ร้านทำเฟอร์นิเจอร์ ร้านทำประตุเหล็ก  ร้านถ่ายรูป         ร้านซ่อมโทรทัศน์
กลุ่มอาชีพรับจ้าง มอเตอร์ไซรับจ้าง   รับจ้างขับรถตุ๊กๆ พนักงานขาย    พนักงานบริการ   พนักงานบริษัท
           

ปฏิทินทางเศรษฐกิจ
            สำหรับหมู่บ้านผมแล้วจะขึ้นกับช่วงของเทศกาลจะไม่เกี่ยวฤดูการแต่ก็มีบ้างที่เกี่ยวข้องเช่นฤดูฝน
จะมีทั้งหมด 4 ช่วงด้วยกัน
งานถนนคนเดิน             ประมาณ  วันที่ 25 - 27 มกราคม  ของทุกปี
งานเทศการอาหารสะอาด  รสชาติอร่อย (อาหารจานเด็ด )  ประมาณ  วันที่ 1-3  มีนาคม 2556 ของทุกปี
งานการแข่งขันนกเขาชวาอาเซียน ประมาณ  วันเสาร์-อาทิตย์ แรกของเดือนมีนาคม ทุกปี
ช่วงเปิดเรียน                  ประมาณ  วันที่ 12-16 พฤษภาคม ของทุกปี
งานสมโภชหลักเมือง      ประมาณ  วันที่ 25 – 31 พฤษภาคม ของทุกปี
ช่วงถือศีลอด                  ประมาณ  ต้นเดือนสิงหาคม-กลางเดือยกันยายาน
ช่วงวันฮารีรายอ              ประมาณ  ต้นเดือนกันยายน-กลางเดือนกันยายน , ช่วงกลางเดือนตุลาคม





ปฏิทินทางเศรษฐกิจ

กิจกรรม
              เดือน
.ค.
ก.พ.
มี.ค.
เม.ย.
พ.ค.
มิ.ย.
ก.ค.
ส.ค.
ก.ย.
ต.ค.
พ.ย.
ธ.ค.
งานถนนคนเดิน












งานเทศการอาหารสะอาด  รสชาติอร่อย
 (อาหารจานเด็ด ) 











งานการแข่งขันนกเขาชวาอาเซียน











ช่วงเปิดเรียน     











งานสมโภชหลักเมือง











ช่วงถือศีลอด     










ช่วงวันฮารีรายอ


























นโยบายด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
มีแนวทางการพัฒนาดังนี้
ต่อยอดการก่อสร้าง ปรับปรุง บารุงรักษา ถนน ทางเดินเท้า สะพาน คูระบายน้า และคูคลอง
ก่อสร้าง ปรับปรุง พัฒนา ด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ
พัฒนาและปรับปรุงแหล่งน้า ขยายเขตระบบไฟฟ้า ผิวจราจร มีไฟฟ้าสว่างในหมู่บ้าน
พัฒนาและปรับปรุงระบบป้องกันและแก้ไขปัญหาน้าท่วม ขุดลอกคูคลองที่ตื้นเขิน ตลอดจนจัดให้มีคูระบายน้าในชุมชน
ดำเนินการจัดวางผังเมืองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และปรับปรุงภูมิทัศน์ในสถานที่สาธารณะ ตลอดจนก่อสร้างสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
นโยบายด้านเศรษฐกิจและลดปัญหาความยากจน
มีแนวทางการพัฒนาดังนี้
ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดตั้งตลาด เพื่อการกระจายผลผลิต และผลิตภัณฑ์ของชุมชน
ส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างอาชีพ การรวมกลุ่ม ตลอดจนการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน
ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาระบบการเกษตรและกิจกรรมอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
จัดให้มีศูนย์ฝึกอาชีพสาหรับเยาวชนและประชาชน
ส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบอาชีพตามภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อการมีงานทา เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และเป็นการขยายโอกาส
ส่งเสริมและสนับสนุนการจาหน่ายสินค้าราคาประหยัด
นโยบายด้านการสาธารณะสุขและสิ่งแวดล้อม
มีแนวทางการพัฒนาดังนี้
ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนารูปแบบ และระบบการจัดบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานให้ครอบคลุม และทั่วถึงกลุ่มเป้าหมาย
ส่งเสริมมาตรการ การป้องกัน เฝ้าระวัง ควบคุมโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ
ให้การสงเคราะห์และสนับสนุนแก่ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพและผู้ด้อยโอกาส ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถพึ่งตนเองได้
ส่งเสริมมาตรการ การป้องกัน เฝ้าระวัง และบาบัดผู้เสี่ยงต่อการติดยาเสพติด
ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการแข่งขันกีฬา ตลอดจนการออกกาลังกายเพื่อสุขภาพ
ส่งเสริมและจัดระบบความรู้ด้านการสาธารณสุข และสร้างมาตรฐานด้านการแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือกอื่น ๆ และสมุนไพรเพื่อการนาไปใช้ในระบบบริการสุขภาพ อย่างมีคุณภาพและปลอดภัย
สร้างจิตสานึกในการอนุรักษ์ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ปรับปรุงและพัฒนาระบบการบริหารจัดการ ขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล และระบบบาบัดน้าเสีย
นโยบายด้านการบริหารจัดการ
มีแนวทางการพัฒนาดังนี้
ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และให้ประชาชนในตาบลสะเตงนอกได้มีความรู้ความเข้าใจกระบวนการทางการเมืองภาคประชาชน
ปรับปรุงและเสริมสร้างความพร้อมของเทศบาลเมืองสะเตงนอก ให้เป็นหน่วยงานบริการสังคมที่ดี และมีมาตรฐานการบริการ
ประสานงานและสร้างเครือข่ายการทางาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
ส่งเสริมและสนับสนุนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และการทาประชาพิจารณ์
ส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนขององค์กรชุมชน และคณะกรรมการชุมชน ที่ดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ โดยชุมชนและเพื่อชุมชน
พัฒนาระบบการบริหารงานของเทศบาลให้สามารถบริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง รวดเร็ว ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ
ส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชน สังคม มีการเฝ้าระวัง มีการตรวจสอบ และติดตามประเมินผล การดาเนินงานทางด้านการบริหารจัดการ ทุกระดับ

  

 สรุปอภิปรายและขอเสนอแนวทางพัฒนาชุมชนให้ดีขึ้น
            ชุมชนของผมเป็นชุมชนที่กำลังพัฒนาสู่ชุมชนเมืองอย่างเต็มรูปแบบโดยที่มีลักษณะทางภูมิสาสตร์เป็นตัวช่วยเนื่องจากเป็นที่ราบลุ่มเหมาะที่จะปลูกสร้างอาคารบ้านเรือนต่างทำให้หมู่บ้านของผมเต็มไปด้วยบ้านเช่าซึ่งเกิดจากความต้องการของคนและแหล่งเห็นว่ามีมหาวิทยาลัยซึ่งจะมีลักษณะการปกครองที่เป็นทางการอย่างเดียวเนื่องจากพวกคนเก่าคนแกที่มีอิทธิพลนั้นได้ลาจากโลกไปนานแล้วซึ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงความแตกสามัคคีของคนในชุมชนที่ต่างคนก็ต่างเอาตัวรอดไปวันๆแม้กระทั้งบ้างนั้นยังไม่รู้จักเพื่อนของตัวเองด้วยซ้ำไปทั้งที่ประตู้บ้านติดกันแท้ๆและครอบครัวนั้นแบ่งเป้นครอบครัวเล็กๆจะมีกันก็พ่อ แม่ ลูก ซึ่งทำให้เกิดปัญหาสังคนตามเนื่องจากพ่อแม่ ต่างคนก็ต่างพากันออกไปทำมากินจนไม่โอกาสหรือเวลาแม้กระทั้งจะดูแลอบรมลูกของตนซึ่งชุมชนจะใช้อำนางการปกครองมากกว่าความร่วมมือของคนในชุมชนในการพัฒนานั้นจึงไม่ใช่การพัฒนาที่ยั่งยืนและทำให้เกิดปัญหาการตั้งครรภ์ยังไม่พร้อมของเยาว์ชนในชุมชนและรวมไปถึงเรื่องสิ่งเสพติดนั้นคือส่วนหนึ่งของปัญหาแต่ที่หลักคือการศึกษาซึ่งชุมชนเป็นสังคมเมืองแท้แต่เยาวชนในชุมชนนั้นมีส่วนน้อยมากที่ศึกษาจบปริญญาจึงทำให้มีคนว่างงานเยอะและเกิดการทำงานในสิ่งที่ผิดกฎหมายเช่นค้ายานั้นก็เพราะขาดการศึกษาอาจเพราะคิดว่าพ่อแม่รวยมีธุรกิจส่วยตัวเลยจึงละเลยการศึกษาที่เป็นตัวหลักในการคับเคลื่อนสังคมให้ไปข้างหน้าแต่ถ้าพูดในทาง วัฒธรรมแล้วมีการสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่องซึ่งหมู่บ้านผมจัดได้ว่าเป็นหมู่บ้านพหุวัฒธรรมอันเนื่องมาจากมีหลายศาสนาและมีผู้คนหลากหน้าหลายตาเข้าออกชุมชนตลอดถ้ามีผู้ก่อการร้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านก็ไม่มีใครรู้เนื่องจากผู้คนเยอะจริงถึงแม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆก็ตามแต่ส่วนในเรื่องของเศรษฐกิจนั้นไม่ต้องพูดถึงเนื่องจากมีคนมากจึงมีหลายอาชีพหลายรูปแบบของการค้าการขายทำให้ระบบเศรษฐกิจของหมู่บ้านมีการพัฒนามาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องข้ามกับระบบเศรษฐกิจคือภัยสังคมนั้นเองถึงอย่างไรก็ตามการเรียนรู้นั้นจักเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชุมชนจึงมีโรงเรียนเทคนิคพาณิชยการยะลาและโรงเรียนตาดีกาเป็นโรงเรียนที่สำคัญของชุมชนโดยเฉพาะโรงเรียนตาดีกาเป็นโรงเรียนที่สอนให้เยาวชนในชุมชนรู้จักถูกผิดชั้วดี จัดได้ว่าเป็นโรงเรียนแรกที่เยาวชนในชุมชนจะต้องเรียนพอตกกลางคืนก็มีการสอนมหาคำภีร์ อัลกรุอานเพื่อให้เยาวชนเล่านั้นได้นำเอาไปใช้ในการชีวิตและเอาตัวรอดในสังคมที่นับก็ยิ่งแย้ลง

ปัจจัยที่เป็นจุดแข็งของชุมชน
            ความสัมพันธ์เชิงอำนาจซึ่งอำนาจเด็ดขาดอยู่ที่ผู้ใหญ่บ้านและไม่ใครสนใจด้วยว่าใครจะทำอะไรแค่ฉันไม่เดือดร้อนก็เกินพอหรือไม่ก็จะพยายามทำให้เป็นผลประโยชน์ทำให้การพัฒนานั้นเกิดขึ้นเร็วมากๆ





ปัจจัยที่เป็นจุดอ่อนของชุมชน
            ชุมชนขาดความสามัคคีทำให้ให้ไม่รู้ว่าใครเป็นใครแม้กระทั้งผู้คนในชุนเองยังรู้จักกันยังไม่หมดเลยและยังมีคนนอกเข้ามาอยู่อาศัยทำให้ยากที่จะรู้ได้ว่าใครเป็นใครและเยาวชนในชุมชนก็ขาดการศึกษาทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา

โอกาสในการพัฒนาชุมชน
            นั้นมีมากไม่ว่าจะผลักดันให้เป็นตลาดของตำบลและเป็นแหล่งศึกษาของตำลบโดยการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้นโดยส่งเสริมการศึกษาให้บุคลากรที่เป็นผู้ถ่ายทอดมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะทักษะในการสอนและทักษะในการดำรงชีวิตเพื่อถ่ายทอดให้กับเยาวชนในชุมชนโดยให้โรงเรียนตาดีกาเป็นโรงเรียนนำร่องเนื่องจากเป็นโรงเรียนขนาดเล็กง่ายต่อการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้นเอง

อุปสรรค์ในการพัฒนาชุมชน
            แบ่งออกเป็นสองส่วน นั้นคือ ความไม่สอดคล้องในความคิดหรือต่างคนก็ต่างมีความเป็นต่างกันบางคนคิดว่าสมควรพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ก่อนที่จะพัฒนาองค์ความรู้ และการคอรัปชั่นในการดำเนินการซึ่งในปัจจุบันแม้แต่ในวงการศาสนาก็ยังมีให้ได้พบเห็นในนับประสาอะไรกับองค์กรในชุมชน

ข้อเสนอแนะในการพัฒนาชุมชน
            การจะพัฒนานั้นจะเริ่มต้นจากการทำให้สิ่งไม่ดีนั้นหายไปหมดก่อนนั้นก็คือแก้ปัญหาที่ทำให้ความเป็นอยู่และคุณภาพในการดำรงชีวิตของผู้คนในชุมชนของคนในชุมชนแย้ลงนั้นก็คือการทำให้หมู่บ้านเป็นหมู่บ้านที่ปลอดสิ่งเสพติดแม้กระทั้งบุรี่และต่อด้วยการพัฒนาความรู้และความสามารถของคนในชุมชนนั้นให้สูงขึ้นเพื่อให้เยาวชนเล่านั้นกลายเป็นกำลังที่จะขับเคลื่อนชุมชนในอนาคตเมื่อเยาวชนเล่านั้นเป็นผู้พัฒนาชุมชนก็ด้วยการว่างแผนพัฒนาชุมชนในระยะยาวและเพื่อให้รูปแบบการพัฒนาชุมชนนั้นไปในทางเดียวกันและป้องกันข้อขัดแย้งที่ที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากความคิดเห็นที่แตกต่างกันและจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทำงานขององค์กรต่างๆเพื่อเป็นตัวกระตุ่นให้องค์กรต่างๆทำงานไปอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันความเสี่ยหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของส่วนต่างๆในชุมชนในอนาคต